โครงสร้างเหนือพื้นดิน ได้แก่ การก่อสร้าง เสา คาน พื้น บันได ผนัง หลังคา









บทที่ 1

บทนำ

คำนำ

ในการทำการก่อสร้างโครงการหนึ่งๆ มักเกี่ยวข้องกับองค์ความรู้หลาย ๆ ด้านด้วยกัน หนึ่งในองค์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างได้แก่ เทคโนโลยีก่อสร้างซึ่งมักเกี่ยวข้องกับ วิธีและขั้นตอนในการก่อสร้าง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนสิ่งที่ทางสถาปนิกและวิศวกรเขียนอยู่ในแบบและรายการก่อสร้างให้เกิดเป็นสิ่งปลูกสร้างขึ้นมา ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ทางผู้ที่จะทำการก่อสร้างโครงการเรียนรู้ถึงเทคโนโลยีก่อสร้างต่างๆ บทนี้อธิบายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้าง เพื่อให้ผู้อ่านคุ้นเคยกับงานก่อสร้าง ก่อนที่จะศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุและวิธีการก่อสร้างในบทต่อๆ ไป หัวข้อที่จะกล่าวถึงได้แก่  ผู้ที่เกี่ยวข้องในงานก่อสร้างอาคาร  ชนิดของงานก่อสร้าง  งานหลัก ๆ ในการก่อสร้างอาคาร  วัสดุที่ใช้ในงานก่อสร้างอาคาร  เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างอาคาร และ วิธีการก่อสร้าง

โครงสร้างอุตสาหกรรมก่อสร้าง

แหล่งที่มาของงานก่อสร้างสามารถแบ่งใหญ่ ได้ 3 แหล่ง ได้แก่ งานจากภาคเอกชน  รัฐวิสาหะกิจ และ ภาคราชการ  งานในส่วนของภาคเอกชนแบ่งเป็น 2 ส่วนย่อย ๆ ได้แก่ งานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ งานที่ข้องกับทางธุรกิจ มักเกี่ยวข้องกับการลงทุนทางด้านธุรกิจมีการวิเคราะห์กำไรขาดทุน โดยที่งานก่อสร้างบางอย่างจำเป็นของการทำธุรกิจเช่น การสร้างโรงงาน หรืออาคารสำนักงานเพื่อเป็นที่ดำเนินธุรกิจ ในขณะที่งานบางอย่างเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นการสร้างเพื่อขายหรือเพื่อบริการ เช่น โรงงาน คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนต์ บ้านจัดสรร โรงแรม รีสอร์ท ฯ ในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจได้แก่การก่อสร้างที่พักอาศัย
ในส่วนของรัฐวิสาหกิจการดำเนินงานจะคล้ายกับธุรกิจของเอกชน แต่การลงทุนมาจากรัฐบาลส่วนหนึ่งส่วนที่เหลือมาจากการหารายได้จากการขายบริการ  งานก่อสร้างในส่วนรัฐวิสาหกิจมักเป็นการก่อสร้างโครงการที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหน่วยงานนั้นๆ   เช่น งานก่อสร้างของการทางพิเศษ ได้แก่การสร้างทางด่วน เพื่อให้บริการ รายได้มาจากการเก็บเงินค่าผ่านทาง การท่าเรือได้แก่การก่อสร้างท่าเทียบเรือรายได้มาจากการเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าเช่าคลังเก็บสินค้า  การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้แก่การก่อสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้า และระบบจ่ายไฟฟ้า รายได้มาจากการขายไฟฟ้า  การประปา ได้แก่การก่อสร้างโรงกรองน้ำ การวางท่อเมนประปาโดยมีรายได้มาจากการขายน้ำประปา ฯ
งานก่อสร้างในส่วนของทางราชการมักเป็นการก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค ไม่ใช่เป็นการแสวงหากำไร  ตัวอย่างของหน่วยงานราชการ เช่น  กรมทางหลวงซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน สะพาน  กรมชลประทานทำการก่อสร้างเกี่ยวกับเขื่อนเพื่อการชลประทาน คลองส่งน้ำและโครงสร้างต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชลประทาน   กรมโยธาธิการก่อสร้างถนน สะพาน ระบบระบายน้ำทิ้ง ในเขตเมือง ฯ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในการก่อสร้างมาจากงบประมาณแผ่นดิน รูปที่ 1.1 แสดงตัวอย่างของแหล่งที่มาของโครงการก่อสร้างในภาคต่างๆ
  
รูปที่ 1.1 โครงสร้างของอุตสาหกรรมก่อสร้าง

ชนิดของงานก่อสร้าง

  • งานก่อสร้างโดยทั่วไปมักหมายถึง งานวิศวกรรมโยธาครอบคลุมงานก่อสร้าง ตั้งแต่งานก่อสร้างขนาดเล็กไปจนถึงงานก่อสร้างขนาดใหญ่  งานก่อสร้างสามารถแบ่งออกตามประเภทงานได้ดังนี้
  • 1.  งานอาคาร หมายถึง งานก่อสร้างที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้  ฐานราก เสา คาน พื้น กำแพง ประตู หน้าต่าง หลังคา รวมไปถึง งานระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ ระบบประปา ระบบสุขาภิบาล ระบบการตกแต่งภายใน  ลิฟต์ และอุปกรณ์อาคารอื่น ๆ   ตัวอย่างงานอาคาร เช่น งานก่อสร้างบ้าน ที่ทำการ ศูนย์การค้า โรงแรม แฟลต โรงเรียน โรงงาน ฯ  งานอาคารแบ่งเป็นประเภทย่อย ๆ ได้ดังนี้
อาคารสูง หมายถึง อาคารที่สูงที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษในการก่อสร้าง เช่น ปั้นจั่น ลิฟต์ นั่งร้านสำหรับแบบหล่อคอนกรีต เป็นต้น
อาคารสำเร็จรูป หมายถึงอาคารที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งอาจทำจากคอนกรีตหรือเหล็ก  โดยทั่วไปจะทำจากโรงงาน   การประกอบอาคารมักจะใช้ เครื่องจักรขนาดใหญ่ในการยกติดตั้ง
บ้านพักอาศัย  อาคารประเภทนี้เป็นงานขนาดเล็กและเบา โดยทั่วไปจะมีความสูง 1 ถึง 2 ชั้น
อาคารที่พักพิงชั่วคราว ได้แก่ที่พักคนงานหรือสถานที่ทำการชั่วคราว เพื่อการบริหารโครงการ
  • 2. งานวิศวกรรมโยธา (Civil Engineering work) ได้แก่ งานถนน ทางหลวง สะพาน งานวางท่อประปา งานฐานราก งานอาคารใต้ดิน งานเขื่อน งานระบบน้ำเสีย งานก่อสร้างท่าเทียบเรือ สนามบิน ฯ ลักษณะงานโยธาที่น่าสังเกตคือ เป็นงานที่ต้องใช้เครื่องจักรหนัก เป็นปัจจัยหลักในการทำงาน มีปริมาณงานมาก และขอบเขตพื้นที่ปฏิบัติงานกว้าง หรือลึก หรือทั้งกว้างและลึก ลักษณะของแรงหรือพลังงานในรูปแรงอัด แรงสั่นสะเทือน แรงเหวี่ยง แรงดัน แรงกระแทก แรงกระทบ ฯ
  • 3. โรงงานอุตสาหะกรรม และงานโรงไฟฟ้า (Process and Power Plant) งานประเภทนี้มักเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต เช่น โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปีโตเคมี โรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานแยกแร่และแต่งแร่ สถานีไฟฟ้าย่อย โรงงานโม่หิน ฯ ค่าก่อสร้างส่วนใหญ่จะเป็นค่าสร้างระบบเพื่อให้โรงงานสามารถทำการผลิตได้
  • 4. งานก่อสร้างอื่น ๆ นอกเหนือไปจากงาน 3 ประเภทแรก เช่น
งานก่อสร้างแท่นเจาะสูบก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันดิบในทะเล
งานรื้อถอน (Demolition)  จัดเป็นงานก่อสร้างแขนงหนึ่ง ช่างและแรงงานที่เกี่ยวข้องในงานด้านนี้ต้องเป็นผู้ชำนาญงานหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานรื้อถอนที่อยู่ในย่านเขตชุมชนที่เป็นอาคารสูง หรือเป็นโรงงานสารเคมี งานรื้อถอนมักจะมีลำดับในการทำงานตรงข้ามกับงานก่อสร้าง เช่น งานรื้อถอนมักจะทำจากสูงลงมาต่ำ แต่งานก่อสร้างจะต้องทำจากล่างขึ้นไปข้างบน
อย่างไรก็ตามในโครงการก่อสร้างหนึ่ง ๆ อาจประกอบด้วยงานก่อสร้างหลายชนิดด้วยกัน เช่น โครงการก่อสร้างโรงแรมริมแม่น้ำ นอกเหนือจากตัวอาคารแล้วอาจมีโครงสร้างของเขื่อนกันดินริมฝั่งแม่น้ำ ถนนและที่จอดรถภายในโครงการ การจัดสวน ระบบระบายน้ำ โครงสร้างฐานราก และชั้นใต้ดิน ฯ โครงการก่อสร้างเขื่อน นอกเหนือจากการสร้างเขื่อนแล้ว ก็มักจะมีการสร้างอาคารที่ทำการ อาคารซ่อมบำรุง ฯ โครงการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมัน นอกเหนือจากการติดตั้งระบบเครื่องมือและอุปกรณ์ในการกลั่นแล้ว ยังต้องมีการก่อสร้าง ถนนภายในโครงการ อาคารต่างๆ เช่นอาคารควบคุม สถานีไฟฟ้าย่อย อาคารซ่อมบำรุง ระบบระบายน้ำในโครงการ ฯ การเดินท่อต่างๆ รูปที่ 1.2 แสดงตัวอย่างของงานก่อสร้างชนิดต่างๆ
  • รูปที่ 1.2  ชนิดของงานก่อสร้าง

ผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการก่อสร้าง

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการก่อสร้าง สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ ด้วยกันซึ่งทำงานประสานกัน  กลุ่มต่างๆ เหล่านี้ได้แก่  เจ้าของ   ผู้ออกแบบ และผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยที่แต่ละกลุ่มมีหน้าที่หลักๆ ดังต่อไปนี้

เจ้าของ

เป็นผู้ที่ทำให้เกิดงานหรือโครงการขึ้น และเป็นผู้ที่จ่ายเงินให้แก่ผู้ออกแบบและผู้รับเหมาก่อสร้าง หน้าที่หลัก ๆ ของเจ้าของงานพอสรุปได้ดังต่อไปนี้
รับผิดชอบในการระบุรายละเอียดและข้อกำหนดต่างๆให้แก่โครงการ เช่น ความต้องการในการใช้อาคาร ปริมาณน้ำมันดิบต่อวันที่จะต้องกลั่น   ปริมาตรก๊าซที่จะต้องส่งตามท่อในหนึ่งชั่วโมง  ปริมาณเหล็กเส้นที่จะต้องผลิตต่อวัน ฯ
กำหนดว่าจะเกี่ยวข้องกับโครงการในระดับใด  เช่น  กระบวนการตรวจทาน (Review Process)  รายละเอียดของรายงานต่างๆ ที่ต้องการ (Required reports) ระดับต่างๆที่จะอนุมัติ (Levels of Approval)
รับผิดชอบในการกำหนดปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกับต้นทุนโดยรวม การจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ กำหนดเวลาของงานหลัก  (Major Milestones) และวันสิ้นสุดโครงการ

ผู้ออกแบบ

ประกอบด้วย สถาปนิก และวิศวกรด้านต่างๆ เป็นผู้ที่แปลความต้องการของเจ้าของให้อยู่ในรูปของแบบรูปและรายการข้อกำหนด  เพื่อให้ผู้รับเหมาก่อสร้างสามารถทำการก่อสร้างได้ตามที่เจ้าของต้องการ โดยทั่วไปมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
  • รับผิดชอบในการคำนวณออกแบบทางเลือกต่างๆ
จัดทำแบบรูป และรายการข้อกำหนดตามความต้องการของเจ้าของ
การออกแบบต้องทำตามบทบัญญัติ  ข้อกำหนด  และมาตรฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
การออกแบบต้องมีกำหนดเวลาที่สอดคล้องกับกำหนดเวลาหลักของเจ้าของ และกำหนดเวลาในการก่อสร้างของผู้รับเหมา
  • 3. ตรวจงาน ก่อสร้างเป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม
  • 4. ตรวจแบบรายละเอียดก่อสร้าง (Shop drawing)
  • 5. ประมาณราคาค่าก่อสร้างคร่าวๆให้แก่ทางเจ้าของงาน เพื่อใช้ในการตัดสินใจ
  • 6. ให้คำปรึกษาเมื่อเกิดปัญหาใด ๆ ขึ้นในระหว่างการก่อสร้าง
  • 7. กลั่นกรองการขออนุมัติใช้วัสดุจากผู้รับเหมา
   การออกแบบจะมีผลกระทบต่อคุณภาพและราคาค่าก่อสร้างอย่างมาก  ดังนั้นผู้ออกแบบต้องทำงานประสานกับฝ่ายเจ้าของงานอย่างใกล้ชิด  เพื่อที่จะสามารถออกแบบให้ตรงกับความต้องการของทางเจ้าของงานให้มากที่สุด

ผู้รับเหมาก่อสร้าง

มีหน้าที่ทำงานให้เป็นไปตามเอกสารสัญญาซึ่งประกอบไปด้วย แบบรูป รายการข้อกำหนด ขอบเขตงาน และเงื่อนไขสัญญาอื่นๆ  ขั้นตอนก่อสร้างเป็นขั้นตอนที่สำคัญค่อนข้างมากเพราะมีผลต่อ งบประมาณ ระยะเวลาก่อสร้าง  ที่อาจจะบานปลายได้  อีกทั้งการใช้งานโครงการและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษามีผล อย่างมากจากคุณภาพของงานที่ทำในระหว่างการก่อสร้าง
ผู้รับเหมาจะต้องประมาณราคาโครงการให้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด  จัดทำกำหนดเวลาทำงานให้เป็นไปได้  จัดระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพสำหรับควบคุมต้นทุน  กำหนดเวลา  และคุณภาพงาน

รูปที่ 1.3  ฝ่ายหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้าง

นอกเหนือจาก  3  กลุ่มหลัก ๆ นี้  ในการทำงานโครงการก่อสร้างอาจมีกลุ่มหรือตัวแทนในการดูแลงานให้แก่เจ้าของโครงการ สำหรับในกรณีที่ทางเจ้าของโครงการไม่ค่อยมีเวลา หรือไม่มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการโครงการก่อสร้างหรือการควบคุมงานก่อสร้าง  กลุ่มต่างๆ และหน้าที่ของกลุ่มต่างๆ พอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้

ผู้บริหารโครงการก่อสร้าง

ผู้บริหารโครงการก่อสร้างเป็นหน่วยงานขนาดย่อม  มีวิศวกรหรือสถาปนิก  เศรษฐกร  ผู้ประมาณราคา ช่างเขียนแบบ ฯ  ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับเจ้าของโครงการตั้งแต่เริ่มต้นจนงานก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยทั่วไปมีหน้าที่ช่วยเจ้าของงานในด้านต่างๆ ดังนี้
  • ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการทั้งทางด้านเทคนิควิศวกรรมและทางด้านการเงิน
คัดเลือกผู้ออกแบบโครงการ
ทำการประมาณราคาอย่างเป็นขั้นตอน  ตั้งแต่การประมาณอย่างหยาบจนถึงการประมาณราคาอย่างละเอียด
ให้คำปรึกษาแก่ผู้ออกแบบในฐานะที่ปรึกษาของเจ้าของโครงการ
ควบคุมค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง  กำหนดเวลาก่อสร้าง  ให้เป็นไปตามที่กำหนด
ทำการคัดเลือกผู้รับเหมาขั้นแรก (Pre-qualification)
ร่างเอกสารประกวดราคาและเอกสารประกอบสัญญา
ดำเนินการประกวดราคา  ต่อรองราคา  และการเซนต์สัญญา
ควบคุมงานก่อสร้าง (ขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับทางเจ้าของงาน)
เป็นผู้ประสานงานของทุกฝ่าย  รับและจ่ายเอกสารต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้างที่ตนรับผิดชอบอยู่
                จะเห็นได้ว่าผู้บริหารโครงการมีหน้าที่เกือบทุกชนิดยกเว้นการออกแบบและการแก้ไขแบบเท่านั้น ดังนั้นผู้บริหารโครงการมีส่วนที่จะทำให้ค่าก่อสร้างถูกหรือแพงและดีหรือไม่ดี

ผู้ควบคุมงานก่อสร้าง

ผู้ควบคุมงานก่อสร้างคือผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบในระหว่างการก่อสร้าง  เพื่อดูว่างานนั้นเป็นไปตามแบบรูปและข้อกำหนดตามสัญญาข้อตกลงการว่าจ้างระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง   เป็นผู้ที่คุ้มครองผลประโยชน์ของเจ้าของงาน   ขอบเขตหน้าที่ และความรับผิดชอบมักเน้นทางด้านเทคนิควิศวกรรม  ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
  • เป็นตัวแทนเจ้าของงานทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพของงานจากผู้รับเหมาในระหว่างการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบรูปและข้อกำหนดในรายการก่อสร้างและเงื่อนไขใด ๆ ที่ระบุไว้ในสัญญาก่อสร้าง
  • ควบคุมคุณภาพของงานในองค์กรของตัวเองให้เป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้
  • ป้องกันความวิบัติทางธุรกิจอันอาจเกิดจากความผิดพลาดในการทำงานที่ทำให้ต้องสูญเสียทรัพย์สิน
  • ป้องกันความวิบัติอันอาจจะเกิดแก่ชีวิตและทรัพย์สินที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความผิดพลาด  ประมาท ความเข้าใจผิด  หรือความไม่รับผิดชอบของผู้ทำงาน
  • เป็นผู้ที่ทำให้งานสำเร็จได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
อย่างไรก็ตาม ขอบเขตความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายมักจะขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถและ  ประสบการณ์ของแต่ละกลุ่มหลัก   ทั้งนี้ในการทำงานแต่ละโครงการควรมีการระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานที่ซ้ำซ้อน หรืองานที่ไม่มีคนทำ (สำหรับการกำหนดขอบเขตและหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการก่อสร้างสามารถดูได้จาก หนังสือ ขอบเขตและหน้าที่การให้บริการวิชาชีพ การบริหารงานก่อสร้าง ว.ส.ท. 2540)

งานหลักๆ ในการก่อสร้างอาคาร

ในการทำการก่อสร้างอาคารพอจะแบ่งงานเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ งานอาคาร งานสาธารณูปโภค และงานปรับปรุงพื้นที่  สำหรับงานสาธารณูปโภคและงานปรับปรุงพื้นที่ มักจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ ขนาดและชนิดของโครงการ สำหรับงานอาคารโดยทั่วไปแล้วจะมีองค์ประกอบของงานที่คล้าย ๆ กัน
งานสาธารณูปโภค ได้แก่ ระบบระบายน้ำฝนในบริเวณก่อสร้าง ระบบระบายน้ำทิ้ง ระบบไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ภายนอกอาคาร ฯ งานปรับปรุงพื้นที่ได้แก่ ถนนภายในโครงการ ที่จอดรถและทางเท้า รั้วและประตู งานภูมิสถาปัตย์ งานปรับพื้นที่ เป็นต้น
งานอาคาร แบ่งเป็นงานโครงสร้าง งานสถาปัตย์กรรม และงานระบบภายในอาคาร โดยที่ แต่ละงานสามารถแบ่งเป็นงานย่อยๆ ได้ดังต่อไปนี้

งานโครงสร้าง

  • งานโครงสร้างใต้ดิน ประกอบด้วย งานดิน (Earth work)ได้แก่ งานขุด งานถม ระบบป้องกันดินพัง  งานเสาเสาเข็ม (Piling work) ได้แก่  เข็มคอนกรีต เข็มเหล็ก เข็มไม้ เข็มพืด slurry wall และงานฐานรากอาคาร เป็นต้น
  • งานโครงสร้างเหนือพื้นดิน (Super structure work)   ได้ประกอบด้วยการก่อสร้าง เสา คาน พื้น หลังคา ผนัง บันได เป็นต้น

งานสถาปัตย์กรรม

  • งานหลังคา (Roofing) เช่น  กระเบื้องลอนคู่ กระเบื้องมอร์เนียร์ กระเบื้องดินเผา หลังคาสังกะสี แผ่นโลหะ กระเบื้องลูกฟูก เป็นต้น
  • งานฝ้าเพดาน (Ceiling) เช่นฝ้า ยิปซั่ม ระแนงไม้ ระแนงอลูมิเนียม กระเบื้องกระดาษ
  • งานตกแต่งพื้น (Floor) เช่น พื้น  หินขัด ปาร์เก้ กระเบื้องเคลือบ กระเบื้องยาง หินอ่อน บัวผนัง พื้นขัดมัน พื้นขัดหยาบ เป็นต้น
  • งานผนัง (Wall) เช่น  คอนกรีต อิฐ โครงคร่าวกับยิปซั่มบอร์ด ผนังไม้ หินอ่อน กระเบื้องเคลือบ wall paper เป็นต้น
  •  งานประตู หน้าต่าง (Doors & windows): เช่น หน้าต่าง ไม้ เหล็ก อลูมิเนียม อุปกรณ์ประตูหน้าต่าง เป็นต้น
  •  บันได (Stair) ประกอบด้วยราวบันไดไม้ เหล็ก ลูกกรงไม้ เหล็ก จมูกบันได เป็นต้น
  •  สุขภัณฑ์ (Sanitary wares) ได้แก่ ชักโครก โถปัสสาวะ ที่ใส่กระดาษชำระ ที่ใส่สบู่ ราวแขวนผ้า ฝักบัว สายยางชำระ อ่างล่างหน้า อ่างอาบน้ำ เป็นต้น

งานระบบภายในอาคาร

  • งานระบบสุขาภิบาล (Sanitary works) ได้แก่การเดินท่อชนิดต่างๆ เช่น ท่อเหล็ก  ท่อ PVC  ปัมพ์น้ำ  แทงค์น้ำ ระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น
  •  งานวิศวกรรมเครื่องกล (Mechanical works) ประกอบด้วย ระบบปรับอากาศ ระบบทำน้ำร้อน น้ำเย็น ลิฟต์ บันไดเลื่อน  เป็นต้น
  •  งานวิศวกรรมไฟฟ้า (Electrical work) ประกอบด้วย ระบบควบคุม ระบบแสงสว่าง ระบบป้องกันฟ้าผ่า ระบบสื่อสารในอาคาร ระบบสัญญาณเตือนภัยต่าง ๆ เป็นต้น
รูปที่ 1.4 แสดงถึงงานหลัก ๆ ในการก่อสร้างอาคาร นอกเหนือจากนี้ยังมีงานที่จำเป็นต้องทำแต่ไม่ได้ระบุในแบบและรายการก่อสร้าง ซึ่งได้แก่งานชั่วคราว (Temporary works) ต่าง ๆ ได้แก่ งานวางผังอาคาร สำนักงานสนาม โรงเก็บวัสดุ ถนนชั่วคราว สาธารณูปโภคชั่วคราว และ งานแบบหล่อ (Formwork) ซึ่งอาจเป็นแบบหล่อ  ไม้ เหล็ก ไม้อัด หรือเป็นระบบแบบหล่อพิเศษ เช่น แบบเลื่อน (Slip form) แบบไต่ (Climbing form) หรือ แบบเคลื่อนที่ (Travelling form) เป็นต้น
รูปที่ 1.4 งานต่างๆ ในการก่อสร้างอาคาร

วัสดุที่ใช้ในงานก่อสร้างอาคาร

วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารพอจะจำแนกเป็นประเภทใหญ่ ๆได้ 2 ประเภท ได้แก่
วัสดุพื้นฐาน (Basic Materials)
ได้แก่วัสดุที่เป็นฐานในการผลิตวัสดุอื่น ๆ เพื่อใช้ในการก่อสร้าง เช่น  เหล็ก อลูมิเนียม ไม้  กรวด หิน ทราย ซีเมนต์ พลาสติก กระจก เป็นต้น
วัสดุผลิตภัณฑ์
ได้แก่วัสดุที่ผ่านกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเพื่อใช้ในการก่อสร้าง เช่น คอนกรีตสำเร็จรูป อิฐ เหล็กรูปพรรณ เหล็กเสริมคอนกรีต ลวดเหล็กอัดแรง ไม้แปรรูป ชิ้นส่วนสำเร็จรูปที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ ชิ้นส่วนสำเร็จรูปหลังคา ผนังภายในอาคาร วงกบประตู หน้าต่าง วัสดุงานตกแต่งพื้น ผนัง ฝ้าเพดาน หลังคา เป็นต้น

เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างอาคาร

เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารสามารถแบ่งได้ดังต่อไปนี้
  • งานดิน ได้แก่ รถแทรกเตอร์ (Tractors) รถตัก (Loader),  power shovel, ปั้นจั่นแบบขุดลาก(Drag line), ปั้นจั่นขุดแบบกาบหอย (Clamp shell), รถขุด (Back hoe) , รถบรรทุก (truck) รถเกลี่ยดิน (grader) เป็นต้น
  • งานขนส่งในงานก่อสร้าง เช่น รถเข็น รถขน-เทวัสดุ รถยก รถบรรทุก รอก สายพานลำเลียง ปั้นจั่น เป็นต้น
  • งานคอนกรีต  เช่น โรงผสมคอนกรีต โม่ผสมคอนกรีต รถคอนกรีตผสมเสร็จ รถขนเทวัสดุ สายพานลำเรียง ถังหิ้วคอนกรีต ถังพักคอนกรีต รางเทคอนกรีต เครื่องสูบคอนกรีต เครื่องสั่นคอนกรีต เครื่องยิงคอนกรีต แบบเลื่อน แบบไต่ เป็นต้น
  • งานไม้  เช่น เลื่อย สิ่ว สะหว่านเจาะรู เครื่องไสไม้ เป็นต้น
  • งานโลหะ  เช่น เลื่อย สว่าน เครื่องเชื่อม เป็นต้น

วิธีการก่อสร้าง

ในการก่อสร้างอาคารสามารถที่จะแบ่งวิธีที่ใช้ในการก่อสร้างได้เป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภทได้แก่

การก่อสร้างอาคารโดยทั่วไป

การก่อสร้างโดยทั่ว ๆ ไปโดยใช้วิธีการก่อสร้างที่ธรรมดาไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษในการก่อสร้าง โดยทั่วไปมักประกอบด้วยงานต่างๆ ดังต่อไปนี้
  • การวางผัง ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างชั่วคราว
  • งานโครงสร้างใต้ดิน ได้แก่ งานเสาเข็ม  และ ฐานราก
  • โครงสร้างเหนือพื้นดิน ได้แก่ การก่อสร้าง เสา คาน พื้น บันได ผนัง หลังคา
  • งานตกแต่งอาคาร พื้น ผนัง ฝ้าเพดาน หลังคา การติดตั้งประตู หน้าต่าง อุปกรณ์อาคารต่าง ๆ
  • งานระบบอาคาร เช่น ระบบงานวิศวกรรมไฟฟ้า เครื่องกล สุขาภิบาล เป็นต้น
  • งานที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคภายนอกอาคาร
ในการก่อสร้างจริงในสนามควรต้องมีการประสานกันของงานแต่ละระบบ สำหรับรายละเอียดของขั้นตอนการก่อสร้างจะกล่าวภายหลัง

งานก่อสร้างที่มีลักษณะพิเศษ

ในการทำงานก่อสร้างบางครั้งมีการคิดเทคนิคใหม่ๆ เพื่อให้งานก่อสร้างทำได้เร็วขึ้น ลดค่าใช้จ่าย หรือสามารถควบคุมคุณภาพได้ดีขึ้น เทคนิคต่างๆ ที่ใช้ในงานก่อสร้างอาคารเช่น

งานก่อสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูปขนาดใหญ่

 งานก่อสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูปเป็นวิธีการก่อสร้างที่จะหล่อชิ้นส่วนของอาคารก่อนที่จะนำไปติดตั้ง เป็นเทคนิคที่ช่วยให้งานก่อสร้างประหยัดและเสร็จเร็วขึ้น แต่มีข้อจำกัดคือขนาดของชิ้นส่วนจะถูกจำกัดด้วยเครื่องมือที่ใช้ในการขนส่งและติดตั้ง รอยต่อของชิ้นส่วนจะต้องถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีเพื่อให้สามารถถ่ายแรงระหว่างชิ้นส่วนเพื่อให้ได้ระบบโครงสร้างที่สมบูรณ์

งานระบบอัดแรง 

งานระบบอัดแรง (Prestress) เป็นระบบที่ใส่แรงเข้าไปในโครงสร้างก่อนเพื่อต้านทานน้ำหนักบรรทุกที่จะเกิดขึ้น มี 2 ระบบคือ ระบบอัดแรงก่อนและระบบอัดแรงทีหลัง

แบบเลื่อน 

แบบเลื่อน (Slip form)เป็นระบบแบบหล่อที่จะเลื่อนไปขณะเทคอนกรีตเหมาะสำหรับโครงสร้างที่มีขนาดสม่ำเสมอ มี 2 ระบบคือแบบเลื่อนในแนวราบใช้กับงานก่อสร้างถนนคอนกรีต และแบบเลื่อนในแนวดิ่งใช้ก่อสร้าง ปล่องลิฟต์ ไซโล ปล่องควันฯ

Heavy lifting

การก่อสร้างวิธีนี้เป็นการก่อสร้างโดยประกอบชิ้นส่วนโครงสร้างที่มีขนาดใหญ่ในสถานที่ก่อสร้างแล้วใช้แม่แรงยกชิ้นส่วนขึ้นไปประกอบเป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์

Gunite/Shotcrete

 Gunite หรือ Shotcrete เป็นการใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายปืนฉีดน้ำ ฉีดพ่นคอนกรีตไปบนที่รองรับ วิธีการก่อสร้างแบบนี้มักใช้กับการก่อสร้างโครงสร้างคอนกรีตบางอย่างเช่น หลังคาโครงสร้างเปลือกบาง โดยคอนกรีตจะถูกพ่นไปบนเหล็กเสริมที่มีลวดตะแกรงผูกอยู่เพื่อเป็นตัวยึดคอนกรีต หรือใช้กับการซ่อมแซมคอนกรีตที่เป็นโพรง เพราะการอัดฉีดเข้าไปด้วยแรงดันสูงจะทำให้คอนกรีตที่พ่นลงไปมีเนื้อแน่น

Pumpcrete 

Pumpcrete เป็นการเทคอนกรีตโดยใช้ปัมพ์ เหมาะสำหรับการเทคอนกรีตที่มีปริมาณมาก เพราะอัตราการเทจะเร็วมากทำให้งานก่อสร้างเสร็จเร็ว หรือใช้เทคอนกรีตที่อยู่ในที่สูงหรือไกลจากที่เทมาก

Tremie

Tremie เป็นวิธีการเทคอนกรีตใต้น้ำโดยใช้ท่อเหล็กที่จมอยู่ในคอนกรีตที่เทตลอดเวลาเป็นตัวดันคอนกรีตที่เทไปก่อนแล้วขึ้นข้างบน ทำให้คอนกรีตส่วนที่เททีหลังไม่สัมผัสกับน้ำ

Top-down construction

 การก่อสร้างชนิดนี้เป็นการก่อสร้างโครงสร้างอาคารที่แบ่งระบบโครงสร้างเป็น 2 ส่วน ส่วนที่เหนือดินและส่วนที่อยู่ใต้ดิน โดยการก่อสร้างจะทำการก่อสร้างไปเกือบพร้อมๆ กัน เหมาะสำหรับการก่อสร้างในสถานที่แคบแต่ต้องการความรวดเร็ว โครงสร้างใต้ดินจะเป็นผนังกันดินไปในตัว (Diaphragm wall )

การก่อสร้างสลับชั้น 

การก่อสร้างสลับชั้นเป็นการก่อสร้างโครงสร้างอาคารสูงโดยทำงานโครงสร้างชั้นเว้นชั้นหรือชั้นเว้นสองชั้น  หลังจากที่โครงสร้างพื้นชั้นที่ทำไปแล้วสามารถรับน้ำหนักได้ด้วยตัวเอง และถอดค้ำยันออกแล้ว จึงทำการก่อสร้างโครงสร้างของพื้นชั้นที่เว้นไว้  วิธีนี้เป็นเทคนิคในการเร่งงานก่อสร้างชนิดหนึ่งเพราะสามารถทำงานขนานกันไปพร้อม ๆ กันทำให้สามารถลดระยะเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างได้ แต่มีข้อระวังคือ รอยต่อของเสากับโครงสร้างพื้นที่เว้นไว้ต้องออกแบบและก่อสร้างให้สามารถถ่ายแรงระหว่างกันได้
ระดมทุน startup เพื่อพัฒนาธุรกิจกับศูนย์บ่มเพาะธุรกิจประเทศไทย D - HOUSE GROUP ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ หรือ Business incubator สำหรับผู้เริ่มธุรกิจ Startup หรือ SME โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมผู้ประกอบการด้วยการวางรากฐานธุรกิจให้แก่ผู้เริ่มทำ Start up หรือเริ่มลงทุนธุรกิจ SME ตั้งแต่การอบรมแผนธุรกิจ พัฒนาไอเดียการทำธุรกิจ การวางแผนธุรกิจ การสร้างสินค้าต้นแบบ ไปจนถึงการวางแผนการระดมทุน Start up จากแหล่งทุนต่างๆ เพื่อให้ผู้เริ่มต้นธุรกิจมีศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจอย่างเหมาะสม ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จของธุรกิจ Start up ในประเทศไทย จึงตั้งใจทำหลักสูตรอบรมธุรกิจ เพื่ออบรมนักธุรกิจหน้าใหม่ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการให้แนวทางในการพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงการพัฒนาความรู้ ทักษะที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เริ่มธุรกิจทุกราย ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP ช่วยประเมินธุรกิจและวิเคราะห์แนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อดูโอกาสและความเป็นไปได้จัดอบรมแผนธุรกิจเพื่อให้ความรู้ และให้คำปรึกษาเพื่อการพัฒนาธุรกิจ โดยผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ รวมถึงการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างให้ผู้ประกอบการยุคใหม่ ได้เรียนรู้ ทดลองและพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรายังคอยให้คำปรึกษาการทำธุรกิจและมอบกลยุทธ์การค้าระหว่างประเทศ รวมถึงวางแผนการบริหารจัดการนวัตกรรมให้เป็นระบบ เรามุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เริ่มทำธุรกิจ เพื่อพัฒนาธุรกิจและส่งเสริมการค้าให้เข้าสู่ตลาดในประเทศและต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน โปรแกรมการบ่มเพาะธุรกิจ กลุ่มธุรกิจเป้าหมายของศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP จะมุ่งเน้นที่ 3 กลุ่มธุรกิจหลักคือ 1. กลุ่มธุรกิจอาหารสุขภาพ กลุ่มธุรกิจสุขภาพ อย่างอาหารฟังก์ชั่น กำลังเป็นที่สนใจอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับผู้เริ่มธุรกิจ SME ที่จะยกระดับมูลค่าทางธุรกิจให้สูงขึ้น อาหารฟังก์ชั่นหรือ Functional Foods คือ อาหารแห่งอนาคตที่มีคุณค่าทางโภชนาสูง ที่สามารถช่วยป้องกันโรคและรักษาโรคได้ด้วย แม้จะมีผู้ประกอบการในประเทศไทยได้เริ่มเข้ามาทำธุรกิจอาหารในอนาคตนี้หลายราย เพราะไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันเริ่มมุ่งเน้นการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น 2. กลุ่มธุรกิจการแพทย์ ความสนใจในธุรกิจด้านการแพทย์มีแนวโน้มเติบโตสูงมากขึ้นในปัจจุบัน และมีการพัฒนานวัตกรรมรวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางด้านการแพทย์ขึ้นมากมาย เช่น การให้บริการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล การแพทย์แม่นยำ การแพทย์ทางเลือก การใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรในการรักษา Genomic medicine และ Advance Medicine ในกลุ่ม ATMP (Advanced Therapy Medicinal Products) ที่ประกอบด้วย หรือ D - HOUSE GROUP และ มหาวิทยาลัยของ รัฐบาล เข้าร่วมโครงการ เป็นที่ปรึกษา การใช้ยีนหรือเซลล์บำบัด เช่น การบำบัดด้วย stem cell เป็นต้น Tissue Engineering และ Combined Therapy ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และการให้บริการทางการแพทย์เหล่านี้มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการรักษาโรคที่เกิดจากนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นต้น ธุรกิจการแพทย์อย่าง คลินิกความงามหรือทันตกรรมมีอัตราการเติบโตขึ้นในแต่ละปีอย่างเห็นได้ชัด เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่สูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง 3. กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตร ธุรกิจเกษตรอุสาหกรรมในประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สามารถพัฒนาให้มีศักยภาพแบบยั่งยืนได้ เพราะกว่า 40% ของคนไทยมีอาชีพเป็นเกษตรกรที่เชี่ยวชาญ และยังมีทรัพยากรภายในประเทศสำหรับการผลิตที่เพียงพอหากมีการส่งเสริมการค้าทางการเกษตร ก็ยิ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวเข้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น เพราะยิ่งจำนวนประชากรโลกสูงขึ้น ปริมาณความต้องการอาหารก็ยิ่งสูงขึ้นด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีสำหรับผู้สนใจเริ่มธุรกิจ Startup ด้านนี้ สำหรับหลักสูตรอบรมธุรกิจ SME เพื่อพัฒนาธุรกิจในระยะยาว จะมีเนื้อหาพื้นฐานครอบคลุมทั้งวิธีการบริหารธุรกิจและเครื่องมือที่ใช้สำหรับการจัดการธุรกิจ ซึ่งผู้เข้าอบรมจะได้พื้นฐานความรู้ ดังต่อไปนี้ 1. แนวคิดการบริหารจัดการและการใช้เครื่องมือในการจัดการองค์กร 2. เทคโนโลยีการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อเจาะตลาดเข้าสู่ตลาดโลก 3. กลยุทธ์การค้าระหว่างประเทศและการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ 4. การระดมทุน Start up และการบริหารเงินทุนสนับสนุน SME 5. การพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งใจหรือวางแผนที่จะเริ่มธุรกิจใหม่ ด้วยทีมงานไม่กี่คน และมุ่งหวังให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน เพราะสามารถช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการใหม่ๆ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจยังมีส่วนในการขับเคลื่อนธุรกิจ SME ให้เติบโตขึ้นเป็นบริษัทได้อย่างเต็มรูปแบบ และส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้ยั่งยืนได้อีกด้วย ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งใจหรือวางแผนที่จะเริ่มธุรกิจใหม่

2 ความคิดเห็น:

  1. สมัย เหมมั่น ไทยซีเนี่ยร์คอมเพล็กซ์ โครงการคอนโดมิเนี่ยมและซีเนี่ยร์คอมเพล็ก กรณีศึกษา โครงการเพื่อ สหกรณ์ออมทรัพย์ ครูและข้าราชการฯ

    ตอบลบ
  2. ประการสำคัญยิ่งคือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับเรื่อง Wellness กำลังเติบโตทั่วโลกเช่น ธุรกิจออกกำลังกาย การให้คำปรึกษาทางด้านสุขภาพกาย/ ใจ ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ และ Wellness Tourism มีการคาดการณ์ว่าจะขยายตัวจาก 19 ล้านล้านเหรียญ ในปี 2015 เป็น 27 ล้านล้านเหรียญ ในปี 2020 หรือเท่ากับขยายตัวร้อยละ 7 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2015 – 2020 โดยเฉพาะเมื่อเกิดผลกระทบจาก Covid-19 ยิ่งทำให้ความต้องการบริการและผลิตภัณฑ์ด้าน Wellness ขยายตัวทั่วโลก ขณะที่ นักท่องเที่ยวกลุ่ม Wellnessใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป ร้อยละ 61 เนื่องจากเป็นนักท่องเที่ยวที่มีความสามารถในการจ่ายสูง นักท่องเที่ยว Luxury ใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวประเภทอื่น 130% และมาท่องเที่ยวพักผ่อนในเวลาที่ยาวนานกว่า โดยการเติบโตของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Luxury ในไทยเติบโตถึง 18%

    ทิศทางดังกล่าวนับเป็นโอกาสสำคัญยิ่งของประเทศไทย เพราะเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับจุดแข็งของประเทศไทยในด้านบริการด้านความงามและการดูแลสุขภาพของไทย ซึ่งมีพื้นฐานที่เข้มแข็งมาก ซึ่งหากพิจารณาจากการที่ประเทศไทยมีทรัพยากรด้านสุขภาพที่มีคุณภาพจำนวนมาก ทั้งธรรมชาติ อาหารไทย การแพทย์แผนไทย วัฒนธรรมไทย หรือ สมุนไพรไทย โดยประเทศไทยมีพืชสมุนไพรที่รู้จักสรรพคุณและใช้ประโยชน์กว่า 1,800 ชนิด แต่มีเพียง 300 ชนิดที่เป็นวัตถุดิบสมุนไพรที่จำหน่ายในท้องตลาด ยังมีโอกาสขยายเพิ่มเติมพืชชนิดอื่นได้อีกมาก ในส่วนของตลาดส่งออกสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ของไทยไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งยังขยายได้อีกมากเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะเอื้อต่อการให้บริการท่องเที่ยวเพื่อความงามและสุขภาพ หากยังเป็นปัจจัยที่ช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวในประเทศไทยเพื่อประโยชน์ด้านอื่นนอกจากการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเดียว

    หากพิจารณาเจาะจงลงไปในบริการด้านการแพทย์และความงามแล้ว ประเทศไทยมีความได้เปรียบทางการแข่งขันระดับสูงมาก ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศไทยมีผู้ป่วยต่างชาติที่เข้ามารับบริการการแพทย์ถึง1.2 ล้านคน (ปี 2556) นับเป็นอันดับ 1 ด้าน Medical Hub ของโลก (Bloomberg 2013) เมื่อเปรียบเทียบในประเทศอาเซียนด้วยกัน ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของอาเซียน โดยมีนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์มีสัดส่วน 38% ของภูมิภาค ด้วยตลาดมีแนวโน้มเติบโตราว 14% ต่อปี ประเทศไทยมีจำนวนโรงพยาบาลที่ได้รับมาตรฐาน JCI จำนวน 56 แห่ง (ปี 2560) ซึ่งมากเป็นอันดับ 4 ของโลก และโรงพยาบาลเอกชนของไทยติดอันดับ 1 ใน 10 สถานพยาบาลยอดเยี่ยมระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการให้บริการไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา หากพิจารณาเจาะจงในบริการด้านความงามและศัลยกรรมซึ่งเป็นสาขาที่มีสัดส่วนมากที่สุดในการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ พบว่า ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านศัลยกรรม เป็นอันดับ 8 ของโลก ชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นบริการด้านตรวจสุขภาพ ศัลยกรรมกระดูกและข้อ ผ่าตัดหัวใจ ศัลยกรรมความงาม แปลงเพศ และทันตกรรม

    ตอบลบ