อสังหาริมทรัพย์เพื่อผู้สูงอายุตื่นตัว และมีการเติบโตของจำนวน อสังหาฯผู้สูงอายุ อย่างต่อเนื่อง











จากบทความก่อนหน้านี้ ที่ TerraBKK Research ได้นำเสนอเกี่ยวกับ โอกาสของธุรกิจ Long Stay ในยุคสังคมสูงวัย ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนของประชากรสูงอายุในประเทศไทย รวมไปถึงการที่ประเทศไทยได้เป็นหนึ่งเมืองสำหรับชีวิตวัยเกษียณของชาวต่างๆชาติ (Long stay visa) ที่เป็นผลให้วงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อผู้สูงอายุตื่นตัว และมีการเติบโตของจำนวน อสังหาฯผู้สูงอายุ อย่างต่อเนื่อง
จากการพิจารณาภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ผู้สูงอายุ TerraBKK Reserch มองว่าสามารถจำแนกประเภทการพัฒนาอสังหาฯได้ 5 ประเภท ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตขึ้นอีกมากใน 5-10 ปีนี้ โดยจะขอนำเสนอในเชิงความแตกต่าง เพื่อให้สามารถพิจารณาความเหมาะสมของการอยู่อาศัยที่แตกต่างกันได้

1. บ้านเดี่ยว โครงการบ้านเดี่ยวสำหรับผู้สูงวัยนั้นยังเติบโตไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปในรูปแบบของชุมชน (Community) เสียมากกว่า เนื่องจากการพัฒนาบ้านสำหรับผู้สูงวัยนั้นส่วนใหญ่จะเป็นโครงการระดับพรีเมี่ยม เพราะว่าใช้เนื้อที่มากกว่าโครงการบ้านทั่วไป การออกแบบที่เฉพาะเจาะจงในด้านวัสดุ การจัดแปลนภายในและนอกบ้าน การวางระดับของเครื่องใช้ภายในบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้บ้านเดี่ยวสำหรับผู้สูงวัย จะเติบโตในรูปแบบของการปรับโครงสร้างบ้านเดิมที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้เป็นบ้านสำหรับตัวเองในวัยเกษียณ หรือบ้านสำหรับครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกในบ้านเป็นผู้สูงวัย เป็นต้น เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่้ ที่มีบุคคลดูแลผู้สูงอายุในบ้าน 2. คอนโดมิเนียมหรืออาคารชุดเพื่อผู้สูงวัย เป็นที่อยู่อาศัยที่น่าจะเติบโตที่สุดในอนาคต เห็นได้ชัดจากยอดจองคอนโดมิเนียมสำหรับผู้สูงวัยที่มีคนอายุ 55 ปีขึ้นไป แห่มาจองกันอย่างรวดเ็ร็ว เหตุผลที่ผู้สูงวัยควรอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมนั้นมีด้วยกันหลายประการ เนื่องจากคอนโดมิเนียมเป็นที่พักอาศัยแบบ compact ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อมอยู่แล้ว ทั้งในด้านทำเล บริการ และความปลอดภัย เป็นต้น คอนโดส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้พื้นอยู่ในระนาบเดียวกัน ทำให้ไม่เป็นอันตรายและตรงกับหลักการออกแบบที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุ พื้นที่ส่วนกลางก็เป็นสวนหย่อมหน้าบ้า่นสำหรับหย่อนใจ ในกรณีที่อุปกรณ์ในห้องชำรุดก็มีช่างประจำโครงการหรือนิติบุคคลคอยดูแล และศักยภาพด้านทำเลที่ตั้งของคอนโดมิเนียมที่ไม่ไกลจากสถานที่สำคัญต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาล คอนโดมิเนียมจึงเป็นอีกหนึ่งที่อยู่อาศัยที่เหมาะสำหรับผู้สูงวัยที่ไม่มีครอบครัว ไม่ได้อยู่แบบครอบครัวใหญ่ ต้องการอยู่ใกล้กับลูกหลานในเมือง และสามารถดูแลตัวเองได้ในเบื้องต้น สำหรับคอนโดเพื่อผู้สูงวัยโดยเฉพาะ ควรพิจารณาเลือกคอนโดที่มีเจ้าหน้าที่การพยาบาลดูแลตลอดเวลา และมีระบบการเชื่อมต่อระหว่างห้องเจ้าหน้าที่พยาบาลและห้องพักในกรณีฉุกเฉิน 3. สถานรับดูแลผู้สูงอายุหรือสถานบริบาลผู้สูงอายุ (Nursing Home) อีกหนึ่งประเภทของที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยที่เติบโตขึ้นจนเห็นได้ชัดในยุคนี้ ในปัจจุบันเกิดขึ้นแล้วกว่า 60 แห่ง โดยจะอยู่บริเวณในเมืองใหญ่ที่ใกล้สถานพยาบาล โดยจะมีการให้บริการทางการแพทย์ สุขภาพ และการดูแล เพื่อผู้สูงวัยที่มีอาการป่วยไม่มากนัก แต่ไม่สามารถอาศัยลำพังอยู่ที่บ้านได้ มีเจ้าหน้าที่ที่มีทักษาทางการพยาบาลดูแลตลอด 24 ชั่วโมง 4. เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ (Service Apartment) โดยส่วนใหญ่มักดำเนินการโดยโรงพยาบาล โดยจะมีทำเลติดอยู่กับโรงพยาบาล เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงวัยที่ต้องพักอาศัยในระยะยาวและเข้ารับการรักษาจากโรงพยาลอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มลูกค้าหลักมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เช่นประเทศญี่ปุ่น ที่เข้าสู่ในยุคสังคมสูงวัยสุดยอดเต็มรูปแบบ และนิยมเข้ามาพักรักษาตัวในประเทศไทย 5. บ้านพักหรือสถานสงเคราะห์คนชรา (Residential Home) เกิดขึ้นมานานแล้ว และปัจจุบันมีทั้งหมด 44 แห่งทั่วประเทศ โดยดำเนินการภายใต้หน่วยงานทางราชการ ให้บริการที่พักสำหรับคนชราที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ แต่ไม่มีคนดูแลและยากจน โดยไม่มีความต้องการการดูแลจากพยาบาลวิชาชีพมากนัก นอกเหนือไปจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อผู้สูงวัยแต่ละประเภทที่ได้กล่าวมาเบื้องต้นแล้ว ควรพิจารณาในด้านการออกแบบเพื่อให้เหมาะสมกับผู้สูงวัยโดยเฉพาะควบคู่กันไปด้วย โดยมีหลักการพิจารณาการออกแบบที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยที่เหมาะสม 10 ข้อด้วยกัน คือ
  • ภายนอก - ควรใช้วัสดุที่ไม่ต้องการการดูแลรักษามาก มีพื้นที่สีเขียวที่ไม่จำเป็นต้องตัดหรือคอยดูแลตลอดเวลา และพื้นของระเบียงหรือชาน ควรไม่ต่างระดับจากพื้นบ้าน
  • แปลน - พื้นที่ใช้สอยหลักไม่ควรอยู่ชั้นสอง หรือพื้นที่ที่เข้าถึงลำบาก พื้นห้องควรอยู่ระนาบเดียวกัน ไม่มีพื้นต่างระดับ และแต่ละห้อง ควรกว้างกว่าพื้นที่ปกติอย่างน้อย 4 ตารางเมตร เพื่อรองรับการใช้งานรถเข็น
  • ทางเชื่อมภายใน - ประตูควรกว้างกว่าปกติ มีช่องทางเดินไปในบ้านที่ง่ายและกว้าง สามารถเเชื่อมต่อกับส่วนอื่นๆของบ้านได้ หรือไม่ควรกั้นผนังหากเป็นพื้นที่ใช้สอยส่วนรวม มีแสงไฟส่องสว่างเพื่อให้เห็นชัดเจน
  • ธรณีประตู - ไม่ควรมี หรือหากมีไม่ควรสูงเกิน 0.5 นิ้ว มีขอบลาดเอียง และควรเป็นประตูบานเลื่อน
  • หน้าต่าง - หน้าต่างแบบสวิงหรือบ้านเลื่อนที่ใช้งานง่าย ไม่ควรเป็นบานเกล็ด และควรมีหน้าต่างมากเพื่อให้มีแสงสว่างจากธรรมชาติเข้าถึงตลอดเวลา
  • ที่จอดรถ - ควรมีหลังคา ขนาดของช่องจอดควรกว้างกว่าปกติ เพื่อรองรับการใช้งานรถเข็น
  • ก้อกน้ำ - ควรเป็นก็อกแบบโยกหรือสามารถควบคุมด้วยเท้า มีระบบควบคุมความร้อนของน้ำ และสามารถควบคุมความดันน้ำได้
  • ปลั๊กไฟ - ควรสูงกว่าปกติอย่างน้อย 90 ซม. เพื่อป้องกันการก้มตัวและสะดวกแก่ผู้ใช้งานรถเข็น
  • โต๊ะ เคาน์เตอร์ ชั้นวางของ - ควรลดระดับจากความสูงปกติให้สูงประมาณ 75 เซ็นติเมตร พื้นที่ใต้โต๊ะควรสูงไม่ต่ำกว่า 60 เซ็นติเมตร ไม่ควรมีลิ้นชัก
  • ติดตั้งราวจับและระบบ Emergency - ราวจับทั้งในห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ห้องนอน ควรอยู่ในระดับ 80-90 เซ็นติเมตร สามารถรองรับน้ำหนักได้ และควรติดตั้งเครื่องส่งสัญญานขอความช่วยเหลือในพื้นที่ห้องนอน หัวเตียง ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น หรือห้องที่มีการใช้งานบ่อยครั้ง
สำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อผู้สูงวัยนั้น จะสามารถเติบโตได้อีกเรื่อยๆ เนื่องจากสถิติการเกิดนั้นต่ำลงมาก คนไม่นิยมมีลูกและมีจำนวนของคนโสดมากขึ้น ในขณะที่อายุของประชากรไทยโดยเฉลี่ยนั้นเพิ่มมากขึ้น ในปัจจุบันไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว และคาดการณ์ว่าในปี 2574 หรืออีก 15 ปีข้างหน้านี้ ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู้สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ และบางจังหวัดโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง จะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด เช่นเดียวกับที่ประเทศญี่ปุ่นประสบอยู่ ซึ่งตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อผู้สูงวัยจะเป็นที่ต้องการอย่างแน่นอน - เทอร์ร่า บีเคเค
บทความโดย : TerraBKK ข่าวอสังหาฯ
TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก

บ้านวัยเกษียณเฟื่อง บริการครบวงจร รับสังคมสูงวัย

ระดมทุน startup เพื่อพัฒนาธุรกิจกับศูนย์บ่มเพาะธุรกิจประเทศไทย D - HOUSE GROUP ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ หรือ Business incubator สำหรับผู้เริ่มธุรกิจ Startup หรือ SME โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมผู้ประกอบการด้วยการวางรากฐานธุรกิจให้แก่ผู้เริ่มทำ Start up หรือเริ่มลงทุนธุรกิจ SME ตั้งแต่การอบรมแผนธุรกิจ พัฒนาไอเดียการทำธุรกิจ การวางแผนธุรกิจ การสร้างสินค้าต้นแบบ ไปจนถึงการวางแผนการระดมทุน Start up จากแหล่งทุนต่างๆ เพื่อให้ผู้เริ่มต้นธุรกิจมีศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจอย่างเหมาะสม ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จของธุรกิจ Start up ในประเทศไทย จึงตั้งใจทำหลักสูตรอบรมธุรกิจ เพื่ออบรมนักธุรกิจหน้าใหม่ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการให้แนวทางในการพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงการพัฒนาความรู้ ทักษะที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เริ่มธุรกิจทุกราย ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP ช่วยประเมินธุรกิจและวิเคราะห์แนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อดูโอกาสและความเป็นไปได้จัดอบรมแผนธุรกิจเพื่อให้ความรู้ และให้คำปรึกษาเพื่อการพัฒนาธุรกิจ โดยผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ รวมถึงการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างให้ผู้ประกอบการยุคใหม่ ได้เรียนรู้ ทดลองและพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรายังคอยให้คำปรึกษาการทำธุรกิจและมอบกลยุทธ์การค้าระหว่างประเทศ รวมถึงวางแผนการบริหารจัดการนวัตกรรมให้เป็นระบบ เรามุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เริ่มทำธุรกิจ เพื่อพัฒนาธุรกิจและส่งเสริมการค้าให้เข้าสู่ตลาดในประเทศและต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน โปรแกรมการบ่มเพาะธุรกิจ กลุ่มธุรกิจเป้าหมายของศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP จะมุ่งเน้นที่ 3 กลุ่มธุรกิจหลักคือ 1. กลุ่มธุรกิจอาหารสุขภาพ กลุ่มธุรกิจสุขภาพ อย่างอาหารฟังก์ชั่น กำลังเป็นที่สนใจอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับผู้เริ่มธุรกิจ SME ที่จะยกระดับมูลค่าทางธุรกิจให้สูงขึ้น อาหารฟังก์ชั่นหรือ Functional Foods คือ อาหารแห่งอนาคตที่มีคุณค่าทางโภชนาสูง ที่สามารถช่วยป้องกันโรคและรักษาโรคได้ด้วย แม้จะมีผู้ประกอบการในประเทศไทยได้เริ่มเข้ามาทำธุรกิจอาหารในอนาคตนี้หลายราย เพราะไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันเริ่มมุ่งเน้นการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น 2. กลุ่มธุรกิจการแพทย์ ความสนใจในธุรกิจด้านการแพทย์มีแนวโน้มเติบโตสูงมากขึ้นในปัจจุบัน และมีการพัฒนานวัตกรรมรวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางด้านการแพทย์ขึ้นมากมาย เช่น การให้บริการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล การแพทย์แม่นยำ การแพทย์ทางเลือก การใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรในการรักษา Genomic medicine และ Advance Medicine ในกลุ่ม ATMP (Advanced Therapy Medicinal Products) ที่ประกอบด้วย หรือ D - HOUSE GROUP และ มหาวิทยาลัยของ รัฐบาล เข้าร่วมโครงการ เป็นที่ปรึกษา การใช้ยีนหรือเซลล์บำบัด เช่น การบำบัดด้วย stem cell เป็นต้น Tissue Engineering และ Combined Therapy ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และการให้บริการทางการแพทย์เหล่านี้มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการรักษาโรคที่เกิดจากนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นต้น ธุรกิจการแพทย์อย่าง คลินิกความงามหรือทันตกรรมมีอัตราการเติบโตขึ้นในแต่ละปีอย่างเห็นได้ชัด เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่สูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง 3. กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตร ธุรกิจเกษตรอุสาหกรรมในประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สามารถพัฒนาให้มีศักยภาพแบบยั่งยืนได้ เพราะกว่า 40% ของคนไทยมีอาชีพเป็นเกษตรกรที่เชี่ยวชาญ และยังมีทรัพยากรภายในประเทศสำหรับการผลิตที่เพียงพอหากมีการส่งเสริมการค้าทางการเกษตร ก็ยิ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวเข้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น เพราะยิ่งจำนวนประชากรโลกสูงขึ้น ปริมาณความต้องการอาหารก็ยิ่งสูงขึ้นด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีสำหรับผู้สนใจเริ่มธุรกิจ Startup ด้านนี้ สำหรับหลักสูตรอบรมธุรกิจ SME เพื่อพัฒนาธุรกิจในระยะยาว จะมีเนื้อหาพื้นฐานครอบคลุมทั้งวิธีการบริหารธุรกิจและเครื่องมือที่ใช้สำหรับการจัดการธุรกิจ ซึ่งผู้เข้าอบรมจะได้พื้นฐานความรู้ ดังต่อไปนี้ 1. แนวคิดการบริหารจัดการและการใช้เครื่องมือในการจัดการองค์กร 2. เทคโนโลยีการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อเจาะตลาดเข้าสู่ตลาดโลก 3. กลยุทธ์การค้าระหว่างประเทศและการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ 4. การระดมทุน Start up และการบริหารเงินทุนสนับสนุน SME 5. การพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งใจหรือวางแผนที่จะเริ่มธุรกิจใหม่ ด้วยทีมงานไม่กี่คน และมุ่งหวังให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน เพราะสามารถช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการใหม่ๆ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจยังมีส่วนในการขับเคลื่อนธุรกิจ SME ให้เติบโตขึ้นเป็นบริษัทได้อย่างเต็มรูปแบบ และส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้ยั่งยืนได้อีกด้วย ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งใจหรือวางแผนที่จะเริ่มธุรกิจใหม่








บ้านวัยเกษียณเฟื่อง บริการครบวงจร รับสังคมสูงวัย

2017 M12 28
ข่าวอสังหาฯ

มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทยระบุว่า ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัยตั้งแต่ปี 2548 คือ มีจำนวนผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี ถึง 10% ของประชากร และมีอัตราเพิ่มจำนวนเร็วกว่า 4% ต่อปี ขณะที่ประชากรรวมเพิ่มเพียง 0.5% คาดว่าไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2564 จะมีผู้สูงอายุ 20% ของจำนวนประชากร

ล่าสุดในปี 2561จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 16% ขณะนี้มีการเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัยหลายโครงการ ทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่

บ้านผู้สูงวัยธุรกิจแห่งอนาคต
ภาพรวมข้อมูลของธุรกิจนี้ พบว่า มีบ้านพักผู้สูงวัยเป็นจำนวนมาก ทั้งแบบขายขาดและให้เช่า อาทิ โครงการวิลล่ามีสุข เรสซิเดนท์เซส อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ จำนวน 34 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยว 6 หลัง และคอนโดฯ 3 ชั้น 28 ยูนิต ราคา 3.4-5.5 ล้านบาท เปิดปี 2557, แสนสรา แอท แบคเม้าท์เท่น พื้นที่ 13.2 ไร่ ประกอบด้วย วิลล่า 13 ยูนิต และคอนโดฯ 30 ยูนิต ให้บริการในลักษณะให้เช่าระยะ 30 ปี ต่อสัญญาได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 10 ปี ราคาขายเริ่มต้นที่ 8 ล้านบาท เปิดปี 2559, ปัยยิกา อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พื้นที่โครงการ 6 ไร่ เป็นห้องชุดพักอาศัย 62 ยูนิต ห้องพยาบาลและห้องพักฟื้น 32 ห้อง เปิดปี 2560

จิณณ์ เวลบีอิ้ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ 7 ชั้น 1,300 ยูนิต เปิดปี 2560, เวลเนสซิตี้ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา พื้นที่โครงการ 1,200 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว 70 หลัง โรงแรม 2 อาคาร อาคารละ 79 ยูนิต คอนโดฯ 3 อาคาร อาคารละ 20 ยูนิต เปิดปลายปี 2560, กมลาซีเนียร์ ลิฟวิ่ง จ.ภูเก็ต ห้องชุด 200 ยูนิต วิลล่า 30 ยูนิต เปิดต้นปี 2561, ซีเนียร์คอมเพล็กซ์ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เนื้อที่ 72 ไร่ 1,000 ยูนิต ดำเนินการโดยโรงพยาบาลรามาธิบดี ในที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ เริ่มก่อสร้างปี 2560 คาดใช้เวลา 3-4 ปี

นอกจากนั้นยังมีโครงการของภาครัฐอย่างกรมธนารักษ์ ที่มีโครงการก่อสร้างบ้านเพื่อผู้สูงวัยใน 20 จังหวัด มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้สูงวัยที่มีรายได้ไม่สูงมาก โครงการแรกคือ บ้านสำหรับผู้สูงอายุครบวงจร จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีแผนพัฒนาโครงการบ้านเพื่อผู้สูงอายุใน 4 พื้นที่ คือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี 600 ยูนิต จ.เชียงใหม่ 300 ยูนิต อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 300-600 ยูนิต และ จ.เชียงราย

คนสูงวัยกำลังซื้อสูง
“ฐิตารี อยู่วิทยา” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ระบุว่า อีกไม่เกิน 5 ปี ไทยจะมีผู้สูงวัยมากขึ้นอย่างชัดเจน และผลจากการวิจัยพบว่าผู้สูงวัยยุคใหม่ เป็นกลุ่มคนที่สามารถพึ่งพิงตัวเองได้สูงกว่าในอดีต

ขณะที่กลุ่มคนที่ต้องพึ่งพาลูกหลานก็มีแนวความคิดที่จะแยกออกมาอยู่ด้วยตนเอง เพราะคนกลุ่มนี้มีการงานที่มั่นคงก่อนเกษียณและมีสังคม ทุกคนสามารถดูแลตัวเองได้ และมีไลฟ์สไตล์ชอบเที่ยวเป็นก๊วนกับเพื่อนวัยชราด้วยกัน เป็นต้น

สังคมไทยเป็นครอบครัวเล็กลงเรื่อย ๆ ผู้ใหญ่ยุคนี้สามารถตัดสินใจได้เองโดยเฉพาะกลุ่มคนโสด ซึ่งมีสัดส่วนถึง 40% วัดจากยอดจองโครงการ ส่วนใหญ่คือ หญิงโสด และหลังจากเปิดให้จอง 1 เดือน มียอดจองสูงถึง 30% ซึ่งเกินความคาดหมาย และยังมีคนที่สนใจมาลงทะเบียนอีกจำนวนหนึ่ง

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มวัยกลางคนสนใจโครงการ เฉลี่ยอายุต่ำสุดอยู่ที่ 30 ปี ที่มาจองโครงการ ซึ่งเป็นการวางแผนวัยเกษียณล่วงหน้า อาจจะกล่าวได้ว่า จิณณ์ฯ ถือเป็นโครงการแรกในไทยที่เปิดเป็นบ้านพักอาศัยผู้สูงวัยแบบครบวงจร สร้างเป็นเมืองวัยเกษียณ ที่รังสิต มีโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า คลับเฮาส์ มีการเอ็นเตอร์เทน เพื่อรองรับกลุ่มผู้สูงวัย เป็นโครงการขายขาด ห้องขนาด 43-67 ตร.ม.ขึ้นไป ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท ในอนาคตอาจจะทำเป็นโมเดลให้เช่าระยะยาวในกรณีที่ผู้วัยเกษียณบางคนไม่มีทายาทและไม่ต้องการยกมรดกให้ใคร ราคาจะลดลงมาอีก 25%

ขณะที่ “นันทา รุ่งนพคุณศรี” เจ้าของโครงการปัยยิกา กล่าวว่า บ้านปัยยิกาเป็นโครงการบ้านพักส่วนตัวสำหรับผู้สูงอายุ บนพื้นที่ 6 ไร่ ในจังหวัดปทุมธานี เปิดให้บริการผู้สูงอายุทั้งกลุ่มที่ไม่สามารถดูแลตัวเอง และสามารถดูแลตัวเองได้ โดยมีบริการสไตล์รีสอร์ต มีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส เป็นต้น แต่เพิ่มเติมคือการพาผู้สูงอายุไปทานอาหาร เดินเล่น ทานอาหารนอกสถานที่ รวมถึงพาไปเที่ยวต่างจังหวัดทุกปีมีห้องให้เลือก 2 แบบ คือ 1.ห้องทั่วไปสำหรับผู้ที่ดูแลตัวเองได้ ขนาด 40 ตารางเมตร ราคา 25,000 บาทต่อเดือน และ 2.ห้องพิเศษ สำหรับผู้ที่ดูแลตัวเองไม่ได้ 70 ตารางเมตร ราคา 30,000 บาทต่อเดือน ส่วนผู้ที่ต้องการให้มีพยาบาลดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ก็สามารถจ้างพยาบาลพิเศษได้ โดยเพิ่มเงินอีก 15,000 บาท

ปัจจุบันบ้านปัยยิกา มีห้องพักรวม 94 ห้อง เป็นห้องชุดพักอาศัย 62 ห้อง ห้องพยาบาลและห้องพักฟื้น 32 ห้อง โดยมีสโมสร ห้องอาหาร ฟิตเนส สระว่ายน้ำ สนามหญ้าและบริเวณพักผ่อนในสวน

“สวางคนิเวศ” เมืองต้นแบบ
นอกจากนี้ยังมีบ้านพักของผู้สูงวัยในส่วนของภาครัฐนั้น ยกตัวอย่าง บ้านพักผู้สูงอายุ “อาคารสวางคนิเวศ” โครงการอยู่ภายใต้การกำกับของสภากาชาดไทย ซึ่งเป็นอาคารต้นแบบสำหรับให้ผู้สูงอายุ สุขภาพดี พักอาศัย ตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ เปิดทำการครั้งแรกในปี พ.ศ. 2539 มีทั้งหมด 2 เฟส ประกอบด้วย อาคารชุด 6-8 ชั้น 9 อาคาร รวม 648 ห้องชุด

มีห้องทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ 1.ขนาดห้อง 33 ตารางเมตร มี 168 ห้อง ราคาสนับสนุนค่าห้อง 650,000 บาท 2.ขนาดห้อง 40-41.50 ตารางเมตร ราคาสนับสนุนค่าห้องเริ่มต้น 800,000 บาทขึ้นไป และ 3.ขนาดห้อง 41.50 ตารางเมตร มีห้องน้ำในตัวและระเบียง ราคาสนับสนุนค่าห้องเริ่มต้น 900,000 บาทขึ้นไป ซึ่งแต่ละห้องสามารถอยู่ได้ 2 คน และเมื่อเจ้าของเสียชีวิตห้องจะถูกนำไปเปิดให้จองต่อไป แต่ไม่สามารถโอนสิทธิให้บุคคลอื่นได้ นอกจากสามีภรรยาตามกฎหมาย หรือตามเงื่อนไขที่โครงการกำหนด

ผู้ที่จะจองห้องพักในสวางคนิเวศได้ ต้องเป็นผู้มีอายุมากกว่า 55 ปี ที่พร้อมเข้าอยู่อาศัยประจำและร่วมกิจกรรมกับทางอาคาร โดยมีค่าส่วนกลาง 2,500 บาท เก็บล่วงหน้า 5 เดือน ค่าไฟฟ้า ประปา และบริการอื่น ๆ เช่น ค่ากายภาพบำบัด บริการรถตู้ ค่าอาหาร ของใช้ส่วนตัว และค่ารักษาพยาบาล

นี่เป็นเพียงรูปธรรมที่ทยอยเกิดขึ้นเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัย และคาดว่าในอนาคตก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ
อ่านข่าวเกี่ยวกับอสังหาฯ ทั้งหมดเพิ่มเติมได้ที่ : ข่าวสารและความเคลื่อนไหว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

สถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ คอนโด” รองรับสังคมผู้สูงอายุ






จากกระแสการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทยที่คาดกันว่าจะมาเร็วๆนี้นั้น เพื่อให้ทันต่อกระแสเหล่านี้เลยขอนำเสนอแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจต่อผู้สูงวัยเหล่านั้น เมื่อต้องคำนึงถึงการอยู่อาศัยบ้านช่องที่อยู่ต้องสอดคล้องกันไปด้วย ต่อเรื่องนี้ “อ.วราลักษณ์ แผ่นสุวรรณ “ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เล่าว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าประเทศไทยจะต้องตกอยู่ในสภาพสังคมที่เรียกว่าสังคมผู้สูงอายุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นสิ่งที่ มจธ. ให้ความสำคัญและตระหนักมาโดยตลอด ซึ่งในส่วนของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบเองก็เช่นกัน โดยในปี 2558 ทางคณะได้ร่วมงานกับเครือบริษัท ธารารมณ์ฯใน “โครงการประกวดออกแบบคอนโด” รองรับสังคมผู้สูงอายุ ในย่านซอยศูนย์วิจัย กทม.

อธิวัฒน์ สิริฉัตรพิริย , อ.วราลักษณ์ แผ่นสุวรรณ , ปภัส เกื้อสิริกุล


“โจทย์นี้เราได้จาก ธารารมณ์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่คณะสถาปัตย์ ได้ร่วมกับธารารมณ์ โดยทางธารารมณ์เองก็มีโครงการสร้างคอนโดฯจริงๆ อยู่แล้วในย่านซอยศูนย์วิจัย ก็เลยลองยื่นโจทย์นี้ให้นักศึกษาได้นำเสนอไอเดียตัวเองซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์มากกับ มจธ.โดยเฉพาะนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ซึ่งตามหลักสูตรแล้วในชั้นปีนี้จะต้องออกแบบคอนโดฯ เพียงแต่ส่วนใหญ่อาจารย์จะเป็นผู้คิดโจทย์ให้นักศึกษา”

ด้านนายสมศักดิ์ นิยมพานิชการ Senior Vice President ผู้บริหารธารารมณ์กรุ๊ป บอกว่า ที่ผ่านมาทางบริษัทได้ทำโครงการในลักษณะนี้กับ มจธ.เรื่องระบบก่อสร้างสำเร็จรูป ที่ยังไม่มีการนำมาใช้ก่อสร้างในประเทศไทย โดยทำร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนแนวคิดเรื่องโครงการคอนโดฯรองรับสังคมผู้สูงอายุ ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ โครงการที่ธารารมณ์ ตั้งใจที่จะตอบสนองความต้องการของสังคมและผู้บริโภคให้ตรงจุด ซึ่งเป้าหมายของโครงการประกวด ทางธารารมณ์ และมจธ.ต้องการเห็นวิธีคิดของ คนรุ่นใหม่ ไอเดียใหม่ๆ ที่ไม่ติดกรอบทางด้านธุรกิจมากนัก

“เรายื่นโจทย์คอนโดฯรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยได้ลดข้อกำหนดบางอย่างลง เพื่อให้เด็กๆ ออกแบบได้อย่างเต็มที่ เพราะต้องการงานออกแบบที่แตกต่างจากคอนโดฯทั่วๆไปในปัจจุบันผมว่ามันเป็นโจทย์ที่ท้าทายพวกเขามากที่ให้เด็กรุ่นใหม่มาช่วยกันออกแบบสังคมที่อยู่อาศัยของคนรุ่นเก่า”

PIXEL


ทั้งนี้ผลการประกวดพบว่าผลงาน VGreen Development ของอธิวัฒน์ สิริฉัตรพิริย ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่นอกจากจะออกแบบอาคารและพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ คุ้มค่าตอบโจทย์ทั้งในเชิงธุรกิจและประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับแล้ว ยังมีการสร้างพื้นที่อยู่อาศัยที่ใส่ใจในวิถีชีวิตของผู้สูงอายุ ทั้งเรื่อง ร้านอาหาร ร้านยา โรงพยาบาล สถานที่ออกกำลังกาย ร้านตัดผม จึงมีการรวบรวมสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้มาไว้ในคอนโดฯนี้ นอกจากนี้ยังมีสวนสาธารณะไว้บริเวณรอบๆ เพื่อให้ผู้สูงอายุทั้งในคอนโดฯและสังคมรอบๆ เข้ามาใช้พื้นที่ร่วมกันได้ แถมยังมีไพรเวตคอมมิวนิตีเฉพาะผู้สูงอายุ บนคอนโดฯให้เข้ามาทำกิจกรรมร่วมกันได้ที่ชั้น 2

นัทธพงศ์ คุณากรสวัสดิ์ กับผลงาน The Eureka กับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คว้ารางวัลความคิดสร้างสรรค์ไปครองด้วยการเน้นหน่วยที่ไม่ใหญ่โตมากนัก เพราะเข้าใจผู้สูงอายุที่ต้องรับภาระดูแลรักษา แต่จะไปเน้นเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ภายในคอนโดฯที่ส่งเสริมทั้งสุขภาพจิตและกาย เน้นความเป็นโซเชียลสเปซเพราะเข้าใจถึงความเหงาภายในห้องแคบๆ จึงพยายามดึงผู้สูงอายุออกจากห้องสี่เหลี่ยม ด้วยการออกแบบอาคารและทางเดินรวมถึงสวนหย่อมภายในอาคารที่เชื่อมถึงกัน มุมนั่งเล่นที่พร้อมจะเป็นโซเชียลสเปซได้ มีพื้นที่ออกกำลังกายร่วมกัน ทำอาหารร่วมกัน หรือทำสวนร่วมกัน เอาใจผู้สูงอายุที่รักสีเขียว รูปทรงอาคารที่สวยงามแปลกใหม่ มีส่วนเว้าและยื่นออกมาโชว์ให้เห็นพื้นที่สีเขียว

ขณะที่ ปภัส เกื้อสิริกุล กับผลงาน Pixel จุดเด่นคือฟังก์ชันของห้องที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนได้หลากหลาย ปฏิวัติรูปแบบคอนโดฯที่เปิดไปแล้วต้องเจอกับห้องรับแขก ให้กลายเป็นฟังก์ชันที่หลากหลายให้เลือก โดยแบ่งพื้นที่ใช้งานหลักๆ เป็น 3 ส่วนคือ ห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องครัว หากเป็นครอบครัวมีลูกมักจะอยากเปิดไปเจอกับห้องครัวเพื่อวางของและอาหาร หากเป็นคนทำงานกลับดึกคงเปิดประตูไปเจอห้องนอนก่อน เหล่านี้ปภัส ก็ตอบโจทย์ได้ดีโดยมีรูปแบบห้องที่จับเอา 3 พิกเซล มาเรียงสลับกันตามไลฟ์สไตล์ของผู้อาศัย ในขณะที่เลือกให้ภายในห้องมีการทำพื้นเล่นระดับในแต่ละพิกเซลเกิดเป็นความแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,188 วันที่ 1 - 3 กันยายน พ.ศ. 2559